เกือบ 4 ปีแล้วที่น้องเราถูกทำร้ายร่างกาย
เย็บบนใบหน้า 100 กว่าเข็ม
(ขออนุญาตไม่พูดถึงพาดพิงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตนะคะ
เพราะเราผ่านมาได้แล้วและ เราชนะคดี ถึงแม้ว่าเรารู้สึกว่า
เรายังไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่มันควรจะเป็นก็ตาม
ทุกคนคงรู้ดีว่าเราหมายถึงอะไร)
เหตุการณ์นั้นทำให้เราเป็น PTSD และ ซึมเศร้ารุนแรง1ปี
ร้องไห้เหมือนหมาทุกวันแบบหยุดไม่ได้ทั้งที่ร้องไห้ยากมาก
โชคดีเพื่อนดี กัลยาณมิตร คนช่วยเหลือทุกด้านเยอะมาก
เราขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งจากหัวใจจริงๆในวั้นนั้น
ที่ช่วย SUPPORT เป็นกระบอกเสียงให้เราได้รับความยุติธรรม
ไม่น่าเชื่อเนอะ ไม่ได้เกิดบนหน้าเรา แต่เกิดขึ้นกับคนที่เรารัก
มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมในการใช้ชีวิต แต่สิ่งที่รู้คือ
ยามลำบาก คุณจะเห็นเองว่าจากนี้ใจคุณควรให้ใคร
มองในแง่ดีมันก็สอนเราได้อย่างดีมาก 🙂
▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂
วันนี้เราจะมาสรุปวิธีรักษาแผลผ่าตัด แผลเย็บบนใบหน้า
โดยผ่านการแก้ไขแผล 1 ครั้งจาก
อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลยแพทย์ตกแต่ง
เอิ๊กใช้เวลาเก็บผลการรักษาเกือบจะครบ 4 ปี
อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคน
ที่กำลังรักษาแผลผ่าตัดบนใบหน้าทุกคน
กลับมามีความหวัง และ อยู่กับสิ่งดีๆที่ยังมีอีกมากรอบตัว
แค่เราไม่ตีตราตัวเอง
คนเรา 1 คนมีเอกลักษณ์&มีด้านดีอีกมากมาย
บทสัมภาษณ์ และ การรักษาทั้งหมด
ได้รับเกียรติจาก
ศาสตราจารย์นายแพทย์ วรพงษ์ มนัสเกียรติ ในการรักษา
และให้ข้อมูลวิธีการรักษาแผลเป็นบนใบหน้าทั้งหมด
รวมถึงทีมงานผู้ช่วยแพทย์ทุกๆท่านที่ @ISKYCENTER
ได้ดูแลอย่างดีตลอดการรักษา
เกือบ 1460 วัน ที่ได้เก็บผลการรักษา
รวมถึงอีกบุคคลที่สำคัญ
คือ อาจารย์ศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง
อาจารย์นายแพทย์วิษณุ โล่ห์สิริวัฒน์
โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
ครอบครัว รชตสุวงศ์มีความซาบซึ้ง
และ กราบขอบพระคุณอย่างสูง มา ณ ที่นี้ค่ะ
พีรญา รชตสุวงศ์
ผู้จัดทำ
สรุป หากคุณมีแผลผ่าตัดบนหน้า
-
ตั้งแต่ตอนแรกที่เกิดอุบัติเหตุต้องพยายามทำให้เลือดหยุด ทำให้แผลปิดเร็ว สมานเร็วที่สุดโดยไม่ให้มีการติดเชื้อเกิดขึ้น
-
ฝีมือของศัลยแพทย์ที่ทำการเย็บแผลเป็นสิ่งสำคัญมากอันดับที่ 2 ความประณีตในการเย็บแผลโดยตรงกับการรักษาแผลระยะยาว
-
พบคุณหมอผิวหนังโดยเฉพาะศัลยแพทย์ทางด้านเลเซอร์ผิวหนังเพื่อนำเครื่องมือมาใช้ให้แผลดูดีที่สุด ลดโอกาสการเกิดแผลเป็นนูน หรือ แย่ได้
-
วินัยการรักษาแผลที่ต่อเนื่องขึ้นกับความรุนแรงด้วย เริ่มต้นคือเดือนละ1ครั้งไปเรื่อยๆจนกว่าแผล
-
การตอบสนองของผิวหนังเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน
-
พันธุกรรม หรือ กรรมพันธุ์ บางคนทำทำให้โอกาสการเกิดแผลเป็นนูนหรือแผลเป็นคีลอยด์มากขึ้น ทำให้ผลการรักษายากขึ้น
-
อายุของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยอายุน้อยเท่าไหร่ผลการรักษาหรือการสมานแผลจะดีเร็วขึ้น ถ้าผู้ป่วยอายุมากขึ้นเนี่ยผลการรักษาจะไม่ดีเท่า และ รีบเป็นรีบรักษาเร็วที่สุด ดีที่สุด
ไม่วิทยาการการรักษาในปัจจุบัน
สามารถทำให้แผลหายได้ 100%
▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂
ในฝั่งความรู้สึกของคนไข้ที่รักษาด้วยเลเซอร์เพียงอย่างเดียว
คือ น้องเรา
จะเน้นกลุ่มปรับสภาพผิว และ ช่วงแรกกำจัดเส้นเลือดแดง
ทำทั้งหมด 4 ปีเกือบ 20 ครั้ง ++
ทำเสร็จเราก็เห็นนอนซมทรมานทุกครั้ง
ความรู้สึกทุกครั้งตอนทำเลเซอร์
ตอนยิงเลเซอร์ ถ้าแบบแปะยาชา + เครื่องพ่นลมเย็น
จะรู้สึกเจ็บแบบแสบๆร้อนๆ จี๊ดมาที่แผล
ความรู้สึกเหมือนแผลโดนเตารีด
หลังยิงเสร็จคือปวดแสบ ปวดร้อนเลย
พอเข้าวันที่ 1 จะเริ่มตึงๆ จะแสดงสีหน้ามากไม่ค่อยได้
เพราะแผลจะตึงและต้องคอยทาวาสลีนไลท์บ่อยๆ
เนื่องจากว่ายิงแผลหลายจุดบนหน้า พอวันที่ 4-5 สะเก็ดตก
ก็จะได้กลิ่นสะเก็ดแผลที่หน้า จะเริ่มคันๆ เพราะสะเก็ดเริ่มจะหลุด
ใกล้จะหายแล้ว แต่จะต้องหลบแดดให้ดีเลย โดนแดดไม่ได้
ตอนยิงเลเซอร์แบบแปะยาชา + ไม่พ่นลมเย็น
จะรู้สึกเจ็บมากกว่าแบบแรก 2 เท่า ตอนยิงแบบนี้
คือ มีขากระตุก
สะดุ้งและแอบจิกเบาะเลยทีเดียว
ปวดแสบ ปวดร้อนที่แผลตรงๆเลย เหมือนจะทนไม่ได้
คือทนแทบไม่ไหวเลย เพราะเวลายิงคุณหมอจะยิงแผลๆนึง
จะซ้ำ 2 รอบหรือ 3 รอบ ซึ่งแล้วแต่คุณหมออีกที
เลยขอคุณหมอพ่นเป่าลมเย็นด้วย
เพราะแค่แปะยาชาอย่างเดียว ไม่ไหวจริงๆ
ตอนยิงแบบไม่แปะยาชา + ไม่พ่นลมเย็น
คือเจ็บมากที่สุด น้ำตาไหล ไม่ไหวเลย
ตลอดเวลายิง 4 ปี เวลาระหว่างนั่งรอคุณหมอ
ยอมรับว่าได้ยินเสียงเลเซอร์ติ๊ดๆ แอบรู้สึกหลอนเบาๆ
จากการรักษามาทั้งหมด เกือบ 4 ปี รู้สึกแผลเป็นในหลายๆจุดดีขึ้นมาก รู้สึกขอบพระคุณคุณหมอจากใจจริงๆ ที่ได้มารักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งคุณหมออ๊อด และ น้องผู้ช่วยแพทย์ทุกคน ซึ่งทำให้แผลเป็นดีขึ้นมาก โชคดีมากๆ ส่วนตัวรู้สึกพอใจมากกับการรักษาที่ยาวนานในครั้งนี้ และจนถึงปัจจุบันก็ยังคงรักษาและยิงอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆให้แผลขึ้นดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะยังมีในส่วนตรงจมูกที่ไม่สามารถจะขึ้นเต็ม และ สร้างคอลลาเจนได้ไม่เท่าตรงอื่น เนื่องจากตรงข้างใต้เป็นกระดูกคุณหมอให้ทำใจแต่แรกแล้วค่ะ แต่โดยรวมคือพอใจหมดค่ะ
OAB-OAB
▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂
ตอนไปประเมินแผลบนหน้าเห็นชัดระยะ 5 เมตร
ตามกฎหมาย คือ เสียโฉมตลอดชีวิต
ประเมินวันแรกโดยคุณหมอวรพงษ์ คือ
เขาสามารถรักษาให้ดีคือ 70-80%
ถ้าบอกใจเราตามตรง เราเฟลทุกคนรู้จักเราดีจะรู้ว่า
เรารักใบหน้ามากแค่ไหน
คุณหมอก็พูดตามจริงและไม่ให้ความหวังเกินจริงเลย
เนื่องจากทั้งฝีเย็บตะขาบรอบแรก และ การเกิดแผลบางจุด
ยากต่อการรักษา เช่น หน้าแก้ม โดยเฉพาะจมูก หมอบอกเลย
จุดนี้อาจได้แค่ 60% และการปลูกถ่ายไขมัน
อาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
นั้นก็เป็นเหตุผลให้เราทำใจ
ทำไมต้องเป็นคุณหมอวรพงษ์ ?
ส่วนตัวคิดว่า “ฉายาเจ้าพ่อแผลเป็นในวงการผิวหนัง”
ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ความวิริยะ อุตสาหะ
และ ความเชี่ยวชาญ แกก็คือที่สุดในแผลเป็นแล้วจริงๆสำหรับเรา
ถึงแม้ในตอนนั้นเราจะยังไม่มีโอกาสได้รักษาด้วยตัวเอง
แต่ก็เห็นเคสของแกเยอะ โดยที่ไม่ได้ลงในสื่ออะไรเลย
และ แกเป็นคนนึงที่มีปานโอตะขนาดใหญ่บนหน้าน่าจะเข้าใจ
คนมีแผลบนหน้าได้ดีในเรื่องของความรู้สึก ณ ขณะนั้น
ถ้าเป็นหมอไทยที่มาตรฐานระดับสากลเราเลือกท่านนี้คนเดียวเลย
แต่ก็แอบลุ้นว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ การรักษาจะเป็นยังไง
นี่คือรูปตอนเย็บแผลครั้งแรกพลาด ตะขาบเพียบ
เราเองหาทางติดต่อหาหมอศัลยกรรมตกแต่งว่าแบบนี้แย่ไหม
หมอจึงขอตรวจดูแผลก่อน เลยพบว่ามีเศษแก้วข้างอยู่จึง
เอาเศษแก้วออกมาเป็นชิ้นๆ ถ้าไม่เอาออก
ระยะยาวจะค้างไว้เกิดความเจ็บปวด
หรือ โดนสัมผัสไม่ได้ไปตลอด
ในครั้งที่ 2 นี้แก้ไขโดยเอาเศษแก้วที่อยู่ใต้ผิว
จำนวนมาก และ ฝุ่น รวมถึงเศษเหล็กดำๆ ออก
และ แก้ไขบาดแผลที่เป็นตะขาบ
เพราะคุณหมอบอกว่าที่เย็บแล้วเป็น “รอยตะขาบ”
เนื่องจาก รัดแน่นมากเกินไป
การเย็บต้อง layer-by-layer หรือ ชั้นๆ ทีละชั้น
ไม่ให้เกิด แรงรัดจากการรวบชั้น
นี่คือสิ่งที่คุณหมอ วิษณุ อจ.ศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง
ที่ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์บอกในวันที่เย็บอยู่ห้องฉุกเฉิน
ในวันที่ผ่าตัดรอบที่ 2
รอบนี้เอาสวนตะขาบออกหมด และ เย็บแบบปราณีต
(ตอนเห็นแผลตะขาบครั้งแรก เราร้องไห้หนักมากๆ
ชอบดูมากวีดีโอผ่าตัด
แต่พอเห็นบนหน้าคนในครอบครัวเรากลัวมาก)
มาถึงตอนรักษาจริงเลือกวิธีปรับสภาพผิวด้วยเลเซอร์
และ พ่นลมเย็น รวมถึงยาชา
คือ วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการทนให้ผ่านไปได้ในแต่ละครั้ง
(ทางเอิ๊กเองไม่ได้ไปกับน้องทุกครั้ง
อีกคนที่ต้องขอบคุณคือ “น้องหมูแดง”
ผู้ช่วยแพทย์ที่จะคอยดูแลแทนเอิ๊กเองในทุกครั้งเลย
ขอบคุณจริงๆค่ะ)
คนถามว่าไปทำงานเป็นไง เอาเป็นว่าน้องสาวโดนถามจนชิน
คือ สภาพนี้ ผลคือไม่อยากทานข้าวรวมกับใคร
เพราะต้องตอบคำถามซ้ำไปซ้ำมา ห่อข้าวกินเอง
ชีวิตเปลี่ยนจริง
จากวันที่ไม่มีแผลสู่ก่อนเริ่มการรักษา
ผิวหน้าน้องเอิ๊กดีกว่าเอิ๊กมากและการฮีลลิ่งแผลดีกว่า
แต่พอมีแผลหนักในวันนั้นก็คิดไม่ออกเหมือนกัน
ว่าปลายทางจะเป็นยังไง ?
▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂
การรักษาค่อยๆดำเนินไป แต่ละปีที่ผ่านไป
ความเรียบฟูของแผลที่ดีขึ้น สีแผลที่เกือบเนียนไปกับผิว
แผลบางจุดหายไป ..
อันนี้เป็นรูปที่เก็บภาพรายละเอียด
โดยเอิ๊กกับกล้องDSLRใช้เลนส์มาโครนะคะ
เพื่อให้เห็น TEXTURE ผิว สีแผล
และ แผลใกล้เคียงตาเห็นที่สุด
บริเวณเปลือกตา
บริเวณคิ้ว
บริเวณครึ่งหน้าจมูก,แก้ม,ใต้ตา
บริเวณร่องลึกตรงแก้ม
บริเวณแผลที่หน้าผาก
บริเวณซีกหน้าโดยรวม คิ้ว หน้าผาก จมูก แก้ม ตา
บริเวณหน้าทั้งหมด ณ เดือน มิถุนายน 2564
สำหรับการเรียงไทม์ไลน์ทำให้รู้ว่ามาไกลแค่ไหน
ดีขึ้นมากๆๆๆๆๆ
น้องเราจริงๆเป็นคนร้องไห้ง่ายมากๆๆๆๆ ร้องได้ตลอด
แต่เกิดเหตุการณนี้นางไม่ร้องเลย ไม่เลยเราไม่เห็นเลย
มีแค่น้ำตาออกมาแต่ไม่สะอื้น และ สลับกันเราผู้ร้องไห้ยาก
เรากลายเป็นทุกวันได้ร้องวันละ1ครั้งก็ยังดี
ก็ปล่อยตามธรรมชาติ เข้าใจอารมณ์ตัวเอง
สุดท้ายเมื่อไม่ยอมแพ้ ก็กลับมามีใจแข็งแรงอีกครั้ง
สำคัญที่สุดที่อยากจะบอก กำลังใจให้ตัวเอง
เพราะเราคือคนที่เห็นแผลตัวเอง อยู่กับแผลตลอด 24 ชม.
กำลังใจสำหรับความอดทนแต่ละครั้งในการรักษาแผล
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราไม่รู้สึกแย่หรือเศร้าหรือเสียใจ
เมื่อแผลที่เกิดขึ้นมันมาอยู่บนใบหน้าเรา
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะไม่รู้สึกด้อยค่าลงในบางเวลา
เพราะความมั่นใจเราหายไป
แต่อย่างที่บอก สุดท้ายอยู่ที่มุมมองของเรา 🙂
หวังว่าเหตุการณ์ในวันนั้น และ บล็อคในวันนี้
จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนไม่มากก็น้อย
แผลหน้าค่อยๆฟื้นฟู
แผลใจถึงใช้เวลานานกว่าหรือทั้งชีวิตเราก็ต้องทำ
อยู่ให้ความกับความสุขตรงหน้าในปัจจุบัน
อย่าอยู่กับความทุกข์ในอดีตที่จบไปแล้ว
เราได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว รักตัวเองให้มากๆ
แล้วเราจะผ่านมันไปได้ด้วยกัน
ขอบพระคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ตลอดมาอีกครั้งค่ะ
ERK-ERK